สู่โลจิสติกส์ในอนาคตด้วย ตาข่ายคลุมสินค้ากับอุปกรณ์สำหรับงานการขนส่งที่ดียิ่งขึ้น

ความสำคัญของตาข่ายคลุมสินค้า อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์

ตาข่ายคลุมสินค้า

 

ย่างที่ทราบกันดีว่าอุตสาหกรรมโลจิสติกส์มีบทบาทสำคัญกับการทำธุรกิจนำเข้าส่งออกของทุกประเทศทั่วโลก และการจะมีการจัดการระบบโลจิสติกส์ ที่ดีได้นั้นการจัดการคลังสินค้าให้ดีมีประสิทธิภาพ ทั้งการรับเข้า, จัดเก็บ, จัดการและขนส่งสินค้าให้แม่นยำและรวดเร็ว โดยไม่มีข้อผิดพลาดหรือสินค้าได้รับความเสียหายคือหัวใจที่สำคัญที่สุด ดังนั้น การทำโลจิสติกส์ให้ดีและมีประสิทธิภาพที่สามารถทัดเทียมคู่แข่งได้นั้น จะต้องมีเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับป้องกันสินค้าตกหล่นกระแทกกันระหว่างขนส่งหรือขนย้ายอย่าง ตาข่ายคลุมสินค้า หรือตาข่ายปิดท้ายตู้คอนเทนเนอร์ต่างๆ เป็นต้น

และในปัจจุบันที่เทคโนโลยีของการขนส่งขนย้าย กำลังถูกพัฒนาให้มีความทันสมัยรวมถึงเพิ่มความสะดวกสบายได้มากขึ้น เช่น การนำ AI (Artificial Intelligence), Robot หรือการใช้ IOT (Internet of Thing) เข้ามาใช้กับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย และ อย่างที่ทราบกันดีว่า การขนส่งและโลจิสติกส์ในรูปแบบเดิมนั้นเป็นการทำงานที่ใช้ระบบ Manual จำนวนมาก เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ อย่าง ตาข่ายคลุมสินค้า, สายพานลำเลียงสินค้า, สะพานพาด ฯลฯ

ทำให้ในปีนี้เหล่าผู้ประกอบการที่ทำอุตสาหกรรมเกี่ยวกับโลจิสติกส์ทั่วโลกต้องอัพเดทนวัตกรรมใหม่ๆ ของเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ช่วยให้การขนส่งและขนย้ายมีประสิทธิภาพและลดความเสียหายได้มากขึ้น เพื่อให้ตนเองมีความสามารถทัดเทียมคู่แข่งได้บนสนามของการทำธุรกิจที่ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาโดยในบทความนี้ บริษัท บีแพ็ค แมททีเรียล จำกัด

จะขอนำนวัตกรรมใหม่ที่ล้ำสมัยที่น่าจับตามองของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์มาอัพเดทให้คุณได้ทราบก่อนใคร!


นวัตกรรมอะไรบ้างที่จะเข้ามาเปลี่ยนธุรกิจโลจิสติกส์ในอนาคต

  1. ยานยนต์ไฟฟ้าอัตโนมัติ : หรือที่เรียกว่า AGV เป็นยานพาหนะไร้คนขับที่สามารถขนส่งสินค้าต่างๆ ไปยังสถานที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยยานพาหนะเหล่านี้จะใช้เซ็นเซอร์และระบบนำทางที่หลากหลายเพื่อเคลื่อนย้ายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงอุปสรรค เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังเข้ามาช่วยลดข้อผิดพลาดของมนุษย์ ซึ่งมักเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุและความไร้ประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เหมือนคนขับรถที่ต้องหยุดพักและพักผ่อน

    แม้ว่ายานพาหนะที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะยังไม่แพร่หลาย แต่บริษัทโลจิสติกส์หลายแห่งก็เริ่มลงทุนในเทคโนโลยีนี้แล้วหลายประเทศ ซึ่งยานพาหนะ AGV นี้มีคุณสมบัติพิเศษที่จะต้องพัฒนาเพิ่มเติมในเรื่องของ ระบบการเบรกอัตโนมัติ, การรักษาเลนในการขับขี่ และระบบอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพบนท้องถนนที่แตกต่างกัน

  2. ระบบจัดเก็บและเรียกคืนอัตโนมัติ (AS/RS) : เป็นระบบที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ AI ที่สามารถจัดเก็บ, เรียกคืน, ขนส่งสินค้าภายในคลังสินค้าหรือศูนย์กระจายสินค้า, การจัดลำดับงาน ไปจนถึงการคาดการณ์ล่วงหน้าด้วย นอกจากนั้น ยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจโลจิสติกส์สามารถเข้าถึงข้อมูลโซ่อุปทานแบบเรียลไทม์ โดย Real-Time Supply Chain Visibility เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้บริษัทที่ทำธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีการอัปเดตอยู่ตลอดเวลา เช่น

    • ข้อมูลการเคลื่อนย้ายสินค้า
    • รูปแบบของการจราจร
    • สภาพอากาศ
    • สภาพการเดินทางขนส่ง
    • สภาพถนน

    ซึ่งเมื่อพบปัญหาเกี่ยวกับการเดินทางขนส่งสินค้า ก็สามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้มาวางแผนการเดินทางขนส่งให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

  3. แขนหุ่นยนต์และหุ่นยนต์ควบคุม : หรือ Robotic Process Automation หรือ RPA เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ซอฟต์แวร์โรบอตหรือ 'บอท' เพื่อดำเนินงานประจำตามกฎโดยอัตโนมัติ โดยแขนหุ่นยนต์สามารถทำงานซ้ำๆ เช่น การหยิบ การบรรจุ และการจัดวางบนพาเลทด้วยความแม่นยำและความเร็วสูง เมื่อเครื่องจักรเหล่านี้มีความซับซ้อนมากขึ้น เจ้าหุ่นยนต์เหล่านี้จะสามารถจัดการกับสินค้าและงานได้หลากหลายขึ้น และทำให้กระบวนการขนถ่ายวัสดุมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

    นวัตกรรมของ RPA ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ งานเหล่านี้อาจรวมถึงการป้อนข้อมูล การประมวลผลใบแจ้งหนี้ และการรายงาน การทำให้กระบวนการเหล่านี้เป็นอัตโนมัติ ซึ่งในการดำเนินการด้านคลังสินค้า RPA เมื่อรวมกับหุ่นยนต์ทางกายภาพสามารถช่วยในงานต่างๆ เช่น การเรียงลำดับ การบรรจุ และการขนส่งสินค้า และไม่เพียงแต่ช่วยเร่งกระบวนการเท่านั้น แต่ยังลดความเสี่ยงของข้อผิดพลาดของมนุษย์และการบาดเจ็บในสถานที่ทำงานอีกด้วย

  4. การตรวจสอบระยะไกลด้วย IOT (Internet of Thing) : อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อและ IoT นั้น กำลังจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตของการทำธุรกิจโลจิสติกส์ เพราะอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ IoT สามารถรวบรวมและส่งข้อมูล ช่วยให้ตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการขนส่งขนย้ายสินค้าหรือสิ่งของได้แบบเรียลไทม์ โดย Censor ในการติดตามพัสดุ โดยจะมีการติดตั้งเครื่องมือ IoT บนพัสดุเพื่อให้ทางคลังสินค้าสามารถติดตามสินค้า หรือดูการจราจร ผ่านระบบ Cloud Services ได้ตลอดเวลา นอกจากนั้น เซ็นเซอร์เหล่านี้สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิและความชื้น ช่วยให้จัดเก็บและขนส่งวัสดุที่มีความละเอียดอ่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


แล้วอุปกรณ์ป้องกันสินค้าจากการขนส่งขนย้ายอย่าง ตาข่ายคลุมสินค้า ยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่?

แน่นอนว่า เป้าหมายหลักของการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ คือเพิ่มความสะดวกสบาย ความปลอดภัยและลดการผิดพลาดในการทำงานให้มากที่สุด ดังนั้น ไม่ว่าความล้ำหน้าของเทคโนโลยีจะพัฒนาไปมากสักแค่ไหน แต่การมีเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับป้องกันความเสียหาย อย่าง ตาขายคลุมกันสินค้าตก (safety net) ก็ยังมีความสำคัญอยู่ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยรับแรงกระแทกของสิ่งของหรือสินค้าที่บรรจุอยู่ในคอนเทนเนอร์ ไม่ให้กระทบกันระหว่างขนส่งขนย้าย

โดย ตาข่ายคลุมสินค้า จะทำให้หน้าที่สำคัญคือช่วยป้องกันความเสียหายของสิ่งของหรือสินค้าระหว่างการขนส่งได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้สิ่งของหล่นมาทับจนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เกิดความล่าช้าในการขนส่งได้ ซึ่งหากคุณเลือกใช้ตาข่ายวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ด้วย ก็ช่วยให้บริษัทของคุณกลายเป็น Go Green Logistics ที่ถือว่าเป็นอีกเทรนด์ที่สำคัญในอนาคตด้วยเช่นกัน

โดยสรุป อนาคตของอุปกรณ์และเครื่องมือในการจัดการธุรกิจโลจิสติกส์ ทั้งด้านหุ่นยนต์, ระบบอัตโนมัติ หรือการเชื่อมต่อ IoT นวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนค่าแรง และเพิ่มความปลอดภัยในกระบวนการขนถ่ายสินค้าและสิ่งของในธุรกิจโลจิสติกส์ของคุณ ซึ่งผู้ประกอบการต่างๆ มีความจำเป็นต้องติดตามและปรับตัวให้ทันท่วงที เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่นับวันก็มีความต้องการที่รวดเร็วยิ่งขึ้น แม่นยำมากขึ้น และสะดวกสบายมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต 

หากคุณสนใจ ตาข่ายคลุมสินค้าที่เป็นหนึ่งในอุปกรณ์และเครื่องสำคัญในการขนย้ายขนส่งของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของคุณ บริษัท บีแพ็ค แมททีเรียล เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายตาข่ายสำหรับคลุมสินค้าที่มีมาตรฐานและไว้ใจได้ อีกทั้งยังผลิตจากพลาสติก PP เกรด A ซึ่งเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ นอกจากนั้น คุณยังสามารถผลิตได้ตามขนาดที่คุณต้องการ มีคุณสมบัติเหนียวและแข็งแรงทนทาน สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ยาวนานกว่าวัสดุอื่นๆ ซึ่งเหมาะสำหรับงานที่ใช้ป้องกันสินค้าทุกประเภท เพื่อให้ทุกการขนส่งของคุณมีความปลอดภัย สินค้าไม่เสียหายระหว่างขนส่งได้อย่างแน่นอน