ตาข่ายคลุมสินค้า อุปกรณ์สำคัญในการทำธุรกิจแบบ Sustainable Business

การเลือกใช้วัสดุที่ใช้ซ้ำได้อย่างตาข่ายคลุมสินค้าเพื่อธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ตาข่ายคลุมสินค้า

เพราะสัญญาณจากภัยธรรมชาติรูปแบบต่างๆ เริ่มส่งผลความรุนแรงมาให้เราเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกภาคส่วนจากทั่วโลกจึงหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิต รวมไปถึงการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และธุรกิจ Logistic นั้นถือเป็นธุรกิจแรกๆ ที่ปรับเปลี่ยนกิจกรรมหลายอย่างในกระบวนการทำงานให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการปล่อยคาร์บอนในอาการ โดยการเลือกใช้พลังสะอาดในการขนส่ง หรือการเลือกใช้อุปกรณ์ที่สามารถย่อยสลายง่าย หรือสามารถนำกลับมาใช้งานซ้ำได้ เช่น การใช้ ตาข่ายคลุมสินค้า ที่นอกจากจะนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายครั้งแล้ว ก็ต้องเลือกวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ เป็นต้น

อย่างในประเทศจีนเอง ก็มีนโยบายเรื่องการทำธุรกิจแบบยั่งยืน โดยมีเป้าหมายคือการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ต้น เช่น การหยุดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แล้วเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนแบบ 100% เพื่อก้าวสู่นโยบายของรัฐบาลจีนที่ต้องการให้การยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมและการบริการให้มีความยั่งยืน เช่น นโยบายสำคัญอย่าง Green Supply Chain Management เช่น การเริ่มใช้งานสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับรถบรรทุก โดยมีรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า (EV Truck) หรือ Green Reverse Logistics เป็นกระบวนการจัดการวัสดุและสินค้าย้อนกลับ รวมทั้งขั้นตอนการจัดการซากผลิตภัณฑ์และของเสียที่เกิดขึ้น เช่น การฝังกลบ การนำกลับมาใช้ใหม่ การรีไซเคิล เช่น การใช้ ตาข่ายคลุมสินค้า โดยไม่ส่งกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

Green Logistic คืออะไร? ในประเทศไทยเริ่มต้นได้อย่างไรบ้าง

โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คือ การจัดการกระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายขนส่งสินค้า ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำของห่วงโซ่อุปทาน โดยมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายหลัก คือการลดกระบวนการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวทางปฏิบัตดังนี้

  • การเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (Model Shift) : จากการใช้ยานพาหนะที่ที่มีการปลดปล่อยมลภาวะสูง เช่น การขนส่งทางถนน ด้วยรถบรรทุก ไปสู่รูปแบบการขนส่งสินค้าที่ปลดปล่อยมลพิษน้อยกว่า เช่น การขนส่งทางรางด้วยรถไฟ

  • การขนส่งสินค้าร่วมกัน (Joint Transportation) : การรวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการ โลจิสติกส์หลายรายเข้าด้วยกัน เพื่อให้ลดพื้นที่ว่างในการขนส่งสินค้าในแต่ละครั้ง รวมท้ังลดการขนส่งเที่ยวเปล่าและการบรรทุกสินค้าให้เต็มรถ แต่ต้องไม่เกินจากที่กฎหมายกำหนดใว้

  • การใช้เทคโนโลยีในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 emission) : เช่น การใช้ยานพาหนะไฟฟ้าแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันฟอสซิลแบบดั้งเดิม, การใช้อุปกรณ์ดักจับมลพิษจากท่อไอเสีย หรือการใช้เครื่องวัดความเร็ว (tachometer) เพื่อตรวจสอบ การให้บริการของยานพาหนะ Eco-Wrapping

  • การใช้บรรจุภัณฑ์และอุปกรณ์ในการขนส่งขนย้ายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม : เช่น ตาข่ายคลุมสินค้า, พาเลทหรือกล่องพลาสติก PET หรือ PP ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ยาวนานและสามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% สำหรับการขนย้ายหรือขนส่ง แทนถุงลมกันกระแทกที่อาจใช้ได้เพียงไม่กี่ครั้ง

  • ภาครัฐและเอกชนร่วมกันสนับสนุนกรีนโลจิสติกส์ (Green Logistics) : อย่างภาคเอกชนสามารถเริ่มจากการปลูกฝังให้บุคลากรในบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะกระบวนการในการทำธุรกิจโลจิสติกส์หลายส่วนนั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมาก การตระหนักรู้และเริ่มปรับกระบวนการตามข้อ 1-4 ที่เรากล่าวมาถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ซึ่งจุดที่เล็กและง่ายที่สุด ก็คือ การเปลี่ยนให้อุปกรณ์การขนย้ายขนส่งที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อย่าง ตาข่ายคลุมสินค้า ที่แม้จะทำมาจากพลาสติก แต่ก็เป็นพลาสติกที่มีความทนทานกว่าวัสดุอื่นๆ อีกทั้งถ้าเลือกเป็นพลาสติก PP คุณภาพดีแล้ว นอกจากจะเหนียวแน่นทนทาน นำมากลับมาใช้ซ้ำได้ยาวนานแล้ว ก็ยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้อีกด้วย

ในส่วนของภาครัฐอาจจะช่วยสนับสนุนเอกชนด้านภาษีที่ถูกลง สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ทำตามนโยบายที่ส่งเสริมการใช้พลังงานทนแทนต่างๆ ไปจนถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ คือการออกนโยบายระหว่างภาครัฐของประเทศต่างๆ เพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษในภาคการขนส่ง ท้ังการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสารให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั่นเอง

ข้อดีของการเป็น Green Logistics มีอะไรบ้าง?

✔ ช่วยลดต้นทุนให้ธุรกิจโลจิสติกส์ของคุณ อย่างการารปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าจากทางรถบรรทุกที่มีค่าขนส่งอยู่ที่ 1.72 บาท/ตัน-กิโลเมตร เป็นการขนส่งทางรถไฟ จะช่วยลดต้นทุนไปอยู่ที่ 0.93 บาท/ตัน-กิโลเมตร5 หรือการใช้รถพลังงานไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายต่อปีดลดลงประมาณ ร้อยละ 69.87 เนื่องจากค่าซ่อมบำรุง และต้นทุนพลังงานถูกลง (ข้อมูลจาก : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน)

✔ ช่วยสร้างจุดเด่นและช่วยขยายโอกาสทางการค้า เพราะในปัจจุบันทั่วโลกต่างตระหนักถึงการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมไปถึงภาคประชาชนที่เป็นผู้บริโภคเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องการลด ละ เลิกกิจกรรมหรือสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ฉะนั้น หากบริษัทขนส่งของคุณเป็นแบบ Green Logistics หรือมีการรองรับมาตรฐาน ISO 26000 ซึ่งเป็นมาตรฐานว่าด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ย่อมถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณได้มากขึ้นในอนาคต

✔ ช่วยลดภาระเรื่องภาษีที่จะต้องจ่ายให้กับรัฐ เนื่องจากรัฐบาลของไทยมีนโยบายช่วยเสริมการใช้พลังงานทดแทน เช่น กรมการขนส่งทางบกของไทย ที่มีการลดภาษีป้ายรายปีให้ครึ่งหนึ่ง สำหรับรถบรรทุกที่ใช้พลังงานทดแทน เป็นต้น

หากคุณสนใจ ตาข่ายคลุมสินค้า (safety net) ที่เป็นหนึ่งในอุปกรณ์และเครื่องสำคัญในการขนย้ายขนส่งของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของคุณ ให้สอดรับกับนโยบายและกระแสของการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น บริษัท บีแพ็ค แมททีเรียล เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายตาข่ายสำหรับคลุมสินค้าที่มีมาตรฐานและไว้ใจได้ อีกทั้งยังผลิตจากพลาสติก PP เกรด A ซึ่งเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ มีคุณสมบัติเหนียวและแข็งแรงทนทาน สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ยาวนานกว่าวัสดุอื่นๆ เหมาะสำหรับงานที่ใช้ป้องกันสินค้าทุกประเภท เพื่อให้ทุกการขนส่งของลูกค้ามีประสิทธิภาพและความปลอดภัยได้