เกาะติดเทรนด์สำคัญที่จะมีผลกับธุรกิจขนส่งในอนาคตและความสำคัญของตาข่ายคลุมสินค้า

การเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ในประเทศไทยกับความสำคัญของตาข่ายคลุมสินค้า

ความสำคัญของตาข่ายคลุมสินค้า

กระทรวงพาณิชย์ได้คาดการณ์สถานะของภาคโลจิสติกส์ของไทยในปี 2566 และในปีต่อๆ ไปว่ามีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากโรคระบาดรุนแรง, การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย หรือการที่บริษัทยานยนต์ไฟฟ้าจากต่างชาติเข้ามาลงทุน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต ฉะนั้น การเตรียมพร้อมที่ดีอย่างหนึ่งของธุรกิจขนส่งไทยก็คือ การเกาะติดเทรนด์สำคัญที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานของตนเอง รวมถึงการเตรียมพร้อมเพื่อพัฒนาการขนส่งของตัวเองให้ดีขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น เช่น การใช้ Safety Net หรือ ตาข่ายคลุมสินค้า เป็นต้น

หากกลับไปย้อนดูข้อมูลการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกของประเทศไทยในไตรมาสแรก ปี 2565 นั้นมีการจดทะเบียนเปิดใหม่กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามากถึง 444 ราย เพิ่มขึ้น 39.6% จากเดือนเดียวกันของปี 2564 โดยสาขาที่มีอันดับการจัดตั้งมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ การขนส่งและขนถ่ายสินค้า การขนส่งทางถนน และกิจกรรมตัวแทนรับจัดส่งสินค้า รวมถึงการพิจารณาข้อมูลของสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ของไทยเมื่อปี 2564 มีสัดส่วน13.8% ซึ่งลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 14% และแต่หากนำมาเทียบกับค่าเฉลี่ยต้นทุนโลจิสติกส์เฉลี่ยทั่วโลกที่เฉลี่ยอยู่เพียง 10.8 % ของ GDP (ข้อมูลจากกระทวงพาณิชย์)

จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า แม้การเติบโตของเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์จะมีทิศทางที่เพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ของไทยนั้น พบว่าธุรกิจการขนส่งหรือโลจิสติกส์ของไทยยังต้องเร่งพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ทั้งในเรื่องของการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้กับการทำงาน และการพัฒนาประสิทธิภาพขนส่งของตนเองให้มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากนี้ก็ยังมีเรื่องการที่เป็นเทรนด์สำคัญของโลกไม่แพ้กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็คือ เรื่องการทำธุรกิจสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยธุรกิจการขนส่งนั้นสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ คือการใช้ Safety Net นั่นเอง เพราะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายครั้งและยาวนาน อีกทั้งวัสดุที่นำผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวบางชนิด เช่น พลาสติก PET หรือ PP ก็ยังสามารถนำรีไซเคิลได้ 100%

เทรนด์สำคัญที่คุณควรจับตามมองของธุรกิจโลจิสติกส์ในอนาคตกับความสำคัญของ ตาข่ายคลุมสินค้า

  1. การนำยานยนต์ไฟฟ้าพลังสะอาดมาใช้สำหรับขนส่ง : อย่างที่หลายคนน่าจะพอได้ยินข่าวคราวของ 3 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV ระดับโลกกำลังจะเข้ามาลงทุนให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอีกแห่งหนึ่ง รวมถึงคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ยังได้ประเมินว่าการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและจะมีการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นที่ 260% ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมการขนส่งต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจต้นแบบที่อาจจะเป็นธุรกิจแรกๆ ในการเปลี่ยนยานพาหนะในการขนส่งแบบเชื้อเพลิงฟอสซิลมาใช้พลังงานหมุนเวียนแบบ 100% ตั้งแต่ รถบรรทุกไฟฟ้า, หกล้อ, สิบล้อ, หัวลากไฟฟ้า, รถกระบะ หรือรถตู้ไฟฟ้า ทั้งเพื่องานโดยสารและขนส่งสินค้า

    โดยทางภาครัฐก็ยังมีนโยบาย Green Logistics ที่เป็นแนวทางให้กับอุตสาหกรรมการขนส่งของไทย ได้ปรับตัวและนำไปแนวทางไปใช้กับธุรกิจของตนเอง และการเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่ง Priority ที่สำคัญเพื่อช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศและยังช่วยลดต้นทุนให้ห้กับผู้ประกอบการเพราะมีค่าบำรุงรักษาที่ต่ำ นอกจากนั้น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้ายังสามารถควบคุมได้ด้วยระบบดิจิตอล ท่ีมีระบบรักษาความปลอดภัยในการขับขี่ สามารถขับขี่ความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะทางถึง 120 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง เพื่อให้มีมาตรฐานการขับขี่ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นได้ด้วย

  2. การใช้ AI และหุ่นยนต์เข้ามาช่วยทดแทนแรงงานของคนหรือลดความผิดพลาดระหว่างปฏิบัติงาน : นวัตกรรมของโตชิบาที่พัฒนาหุ่นยนต์สำหรับขนถ่ายสินค้าเป็นครั้งแรกด้วยเทคโนโลยี Image recognition และหุ่นยนต์อัจฉริยะที่ไม่ต้องป้อนคำสั่งล่วงหน้า และ DoraSorter หุ่นยนต์คัดแยกสินค้าอัจฉริยะ ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยจัดการคลังสินค้าทั้งในส่วนของการรับสินค้า การแพ็คสินค้าและการจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อลดระยะเวลาดำเนินการ สามารถจัดส่งสินค้าได้เร็วขึ้น รวมไปถึงความสามารถของ AI ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลหรือคาดการณ์เกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคที่อาจสูงขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยในการเตรียมพร้อมของธุรกิจที่จะเพิ่มหรือลดตรงจุดไหนของ Supply Chain

    ข้อดีของการใช้หุ่นยนต์หรือ AI ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ทั้งผู้ปฏิบัติงานและสินค้าหรือสิ่งของการในการขนย้ายขนส่งได้ด้วย เพราะบางครั้งการขนส่งสินค้าที่มีขนาดใหญ่หรือน้ำหนักมากนั้น มีความยากลำบากต่อกำลังของมนุษย์และมีความเสี่ยงที่อาจจะสร้างความเสียหายได้ทั้งคนและสิ่งของ การนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยเสริมแรงของมนุษย์เพื่อลดความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างขนย้ายขนส่งย่อมได้ผลที่ดีกว่า และนอกจากหุ่นยนต์หรือ AI จะเข้ามาช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขนส่งขนย้ายได้แล้ว ก็ยังมีอุปกรณ์ที่ทุกบริษัทโลจิสติกส์และการขนส่งควรมีก็คือ Safety Net หรือ ตาข่ายคลุมสินค้า ที่จะเข้ามาช่วยในการป้องกันสินค้าหรือสิ่งของที่ตกหล่นขณะขนย้ายได้เป็นอย่างดี

  3. การทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน : ในปัจจุบันนี้ทั่วโลกทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชนแต่ละประเทศต่างตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน (ซึ่ง WHO บอกว่าเราผ่านเข้ามาสู่ภาวะโลกเดือดไปแล้ว) ทำให้ต้องเร่งปรับทัศนคติและวิถีชีวิตของทั้งผู้คน รวมถึงองค์กรของรัฐและเอกชนต่างๆ ให้ปฏิบัติงานหรือการทำธุรกิจด้วยความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมถึงธุรกิจโลจิสติกส์และการขนส่งต่างๆ ทั่วโลกที่เริ่มปรับตัวให้ธุรกิจของตนเป็น Green Logistics มากขึ้น

    และคุณเองก็เริ่มต้นทำธุรกิจขนส่งของคุณให้เป็น Green Logistics แบบง่ายๆ ได้ทันทีก็คือ การเปลี่ยนให้อุปกรณ์การขนย้ายขนส่งที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อย่าง ตาข่ายคลุมสินค้า หรือ Safety Net ที่ทำมาจากพลาสติก PP ที่คุณภาพดีเหนียวแน่นทนทาน นอกจากจะสามารถนำมากลับมาใช้ซ้ำได้ยาวนานแล้ว ก็ยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้อีกด้วย

    ซึ่งตาข่ายของบีแพค แมททีเรียล จะเข้ามาช่วยธุรกิจโลจิสติกส์สีเขียวได้ดีคือ ตาข่ายคลุมสินค้า ของเรา ทำจากวัสดุ Polypropylene เกรด A มีเหนียวแน่น แข็งแรง ทนทาน สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำและรีไซเคิลได้ อีกทั้งยังมีหมุดช่วยยึด ทำให้ติดตั้งได้ง่าย สะดวกและเพิ่มความปลอดภัยในการขนส่งขนย้ายของคุณได้มากขึ้น

หากคุณสนใจ ตาข่ายสำหรับคลุมสินค้า (Safety Net) ที่ช่วยกันของตกได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท บีแพ็ค แมททีเรียล เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายตาข่ายคลุมสินค้าที่มีมาตรฐานและไว้ใจได้ เหมาะสำหรับงานที่ใช้ป้องกันสินค้าทุกประเภท เพื่อให้ทุกการขนส่งของลูกค้ามีประสิทธิภาพและความปลอดภัยได้